เรากะเพื่อน

วันพุธที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2555

การลดน้ำหนักด้วยวิธีการคำนวณ BMR

สวัสดีค่ะเพื่อนๆ ผู้รักสุขภาพทุกคน คราวก่อนคงทราบวิธีการคงไว้ซึ่งความผอมแบบที่คนผอมๆ เค้าชอบทำกัน เราคิดว่าน่าจะนำมาประยุกต์ใช้กับการลดน้ำหนักได้นะ และวันนี้เรามีวิธีการลดน้ำหนักแบบง่ายๆมาให้เพื่อนๆได้ลองทำกันดูนะคะ เคล็ดลับของวิธีการนี้คือ การเผาผลาญพลังงานสะสมในร่างกาย แต่ต้องบอกก่อนนะว่าวิธีนี้ห้ามใจร้อนค่ะ

Salad

ผู้เชี่ยวชาญทางด้านโภชนาการกล่าวว่า การลดน้ำหนัก 1 ปอนด์ (1 กิโลกรัม = 2.2 ปอนด์) ต้องเผาผลาญพลังงานในร่างกายประมาณ 3,500 แคลอรี่เพื่อนๆก็ลองบวกลบคูณหารกันดูนะคะว่า เพื่อนๆต้องเผาผลาญพลังงานในร่างกายกี่แคลอรี่เพื่อให้ได้น้ำหนักตามที่เพื่อนๆต้องการ เริ่มกดเครื่องคิดเลขรึยังคะ วิธีการที่ทำให้ฝันของเพื่อนๆเป็นจริงคือ

1. คำนวณปริมาณพลังงานที่ร่างกายของเพื่อนๆต้องการในแต่ละวันกันก่อนนะคะ เรียกสั้นๆว่า BMR (Basal Metabolic Rate) โดยอ้างอิง จาก เพศ อายุ น้ำหนัก และส่วนสูงของเพื่อนๆ พลังงานที่ว่านั้นเพื่อนๆจะใช้ในการเคลื่อนไหวร่างกายและการหายใจ เพื่อนๆเชื่อไหมคะว่าแม้กระทั่งตอนนอนหลับเพื่อนๆก็มีการใช้พลังงานเช่นกันแต่น้อยมาก

2. คำนวณปริมาณพลังงานที่เพื่อนๆต้องการใช้เพื่อทำกิจกรรมต่างๆภายใน 1 วัน ซึ่งเพื่อนๆแต่ละคนก็ต้องการพลังงานที่ใช้ในแต่ละวันไม่เท่ากันขึ้นกับกิจกรรมที่ทำด้วย

3. เมื่อเพื่อนๆทราบจำนวนพลังงานที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันแล้ว เพื่อนๆต้องคอยควบคุมปริมาณหรือชนิดของอาหารที่ทานเข้าไปไม่ให้มีปริมาณพลังงานรวมมากเกินกว่าที่ร่างกายต้องการใช้ในแต่ละวัน เคล็ดลับคือเมื่อร่างกายได้รับพลังงานในแต่ละวันน้อยกว่าที่จำเป็นต้องใช้ ร่างกายจะไปดึงพลังงานสะสมในรูปแบบอื่นๆมาใช้แทน เท่านี้เพื่อนๆก็ลดความอ้วนได้แล้ว

Fruit&Vetgis

แคลอรี่คืออะไร
เพื่อนๆหลายคนอาจคนอาจจะยังสงสัยว่า แคลอรี่คืออะไร และวิธีการคำนวณBMR ทำได้ยังไง เอาเป็นว่าเราขออนุญาตเพื่อนๆที่พอทราบรายละเอียดมาก่อนแล้วอธิบายเพื่อนๆที่ยังไม่ทราบนะคะ

แคลอรี่ คือ หน่วยพลังงานที่มีอยู่อาหารและเครื่องดื่มที่เราทานและดื่ม ซึ่งร่างกายจะใช้พลังงานเหล่านี้ในการเคลื่อนไหวร่างกาย การหายใจและทำกิจกรรมต่างๆ ในอาหารและเครื่องดื่มแต่ละชนิดจะมีจำนวนแคลอรี่ที่ไม่เท่ากัน อาหารจำพวกไขมันจะมีปริมาณแคลอรี่มากกว่าในอาหารจำพวกแป้งและโปรตีนถึง 2 เท่า (ในปริมาณอาหาร 1 กรัม ไขมันให้ 9 แคลอรี่ แป้งและโปรตีนให้ 4 แคลอรี่)

แคลอรี่เกี่ยวข้องกับความอ้วนได้อย่างไร
การที่ร่างกายของเพื่อนๆได้รับพลังงานมากเกินความต้องการในแต่ละวันจะทำให้เกิดการสะสมพลังงานในร่างกาย อย่าลืมนะคะว่าพลังงาน 3,500 แคลอรี่เท่ากับน้ำหนัก 1 ปอนด์ เพื่อนๆลองคิดเล่นๆดูนะคะว่า ถ้าหากเรามีพลังงานเหลือใช้ในแต่ละวัน 500 แคลอรี่ ภายในใน 1 สัปดาห์เพื่อนๆมีพลังงานเหลือใช้เท่าไหร่ และภายใน 1 เดือน น้ำหนักตัวของเพื่อนๆจะขึ้นอีกเท่าไหร่ แต่ถ้าเพื่อนทำในสิ่งตรงกันข้ามหล่ะ น้ำหนักตัวของเพื่อนๆก็จะลดลงใช่ไหมค่ะ

Fruit Yogurt

1. วิธีการคำนวณจำนวนพลังงานที่ร่างกายต้องการใช้ในแต่ละวัน (BMR)
จำนวนพลังงานที่ร่างกายต้องการใช้ในแต่ละวันเพื่อเคลื่อนไหวและหายใจนั้นขึ้นอยู่กับ เพศ อายุ ส่วนสูง และน้ำหนักของเพื่อนๆแต่ละคน อย่ารอช้ามาคำนวณกันเลย
1.สำหรับเพื่อนๆผู้หญิง : 665 + (4.3 X น้ำหนักตัวหน่วยปอนด์) + (4.7 X ส่วนสูงหน่วยนิ้ว) – (4.7X อายุหน่วยปี)
2.สำหรับเพื่อนๆผู้ชาย : 66 + (6.3 X น้ำหนักตัวหน่วยปอนด์) + (12.9 Xส่วนสูงหน่วยนิ้ว) – (6.8 X อายุหน่วยปี)
อย่าลืมนะ 1 กิโลกรัม = 2.2 ปอนด์ และสูตรนี้ใช้เฉพาะกับผู้ใหญ่เท่านั้น ไม่ใช้กับเด็กค่ะ


2. เมื่อเพื่อนๆทราบ BMR ของตัวเพื่อนๆแล้ว เรามาคำนวณกันต่ออีกนิดนึงว่ากิจกรรมที่เราทำแต่ละวันนั้นต้องการพลังงานเท่าไหร่
1.เพื่อนๆที่ชอบนั่งเฉยๆอยู่กับที่ : BMR X 20 %
2.เพื่อนๆที่ชอบออกแรงเล็กน้อยแต่พองาม : BMR X 30%
3.เพื่อนๆที่ออกกำลังกายบ่อยๆ 2-3 วันต่อสัปดาห์ : BMR X 40%
4.เพื่อนๆที่ออกกำลังกายทุกวัน หรือทำงานที่ออกแรงบ้าง : BMR X 50%
5.เพื่อนๆที่ทำงานออกแรงเยอะหรือพวกนักกีฬาที่ต้องซ้อมเก็บตัว : BMR X 60%


3.พลังงานแท้จริงที่ร่างกายต้องการใช้ในแต่ละวัน = BMR (1) + พลังงานในการทำกิจกรรม (2)


Photobucket

ตัวอย่างการคำนวณปริมาณพลังงานที่ร่างกายต้องการ
หากเพื่อนๆคำนวณ BMR ของตัวเองได้ 1,500 แคลอรี่ต่อวัน และคำนวณการใช้พลังงานจากกิจกรรมที่ทำทุกวันได้ 1,000 แคลอรี่ต่อวัน พลังงานแท้จริงที่ร่างกายของเพื่อนๆต้องการคือ 2,500 แคลอรี่ต่อวัน

จากการคำนวณเพื่อนๆที่ต้องการรักษาน้ำหนักให้คงที่ต้องทานอาหารให้ได้พลังงาน 2,500 แคลอรี่ต่อวัน แต่ถ้าหากเพื่อนๆต้องการที่จะลดน้ำหนักต้องทานอาหารที่ให้พลังงานน้อยกว่า 2,500 แคลอรี่ต่อวันเช่น หากเพื่อนๆทานอาหารที่ให้พลังงาน 2,000 แคลอรี่ต่อวัน ร่างกายจะไปใช้พลังงานสะสมในร่างกายอีก 500 แคลอรี่ ซึ่งจะทำให้เพื่อนๆลดพลังงานสะสมในร่างกายได้วันละ 500 แคลอรี่ และภายใน 1 สัปดาห์เพื่อนๆจะสามารถลดน้ำหนักได้ 1 ปอนด์ (3,500 แคลอรี่เท่ากับน้ำหนัก 1 ปอนด์) ในทางกลับกันหากเพื่อนๆทานอาหารที่ให้พลังงาน 3,000 แคลอรี่ต่อวัน พลังงานอีก 500 แคลอรี่ที่เหลือไม่ได้ถูกนำไปใช้งานก็จะถูกเก็บสะสมในร่างกายในรูปแบบไขมัน และภายใน 1 สัปดาห์เพื่อนๆก็จะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นอีก 1 ปอนด์ (โอ้! พระเจ้าจอร์จอ้วนของจริงหละคราวนี้)

สำหรับเพื่อนๆที่ต้องการลดน้ำหนักนั้น ผู้เชี่ยวชาญทางด้านโภชนาการบอกว่าไม่ควรลดน้ำหนักมากกว่า 2 ปอนด์ต่อสัปดาห์นะ และไม่ควรลดพลังงานมากกว่า 1,200 แคลอรี่ต่อวัน ไม่เช่นนั้นจะเป็นผลเสียมากกว่าผลดี บอกแล้วให้ใจเย็นๆ

Fruit&Vetgis

สำหรับจำนวนแคลอรี่จากอาหารที่ทานเข้าไปในแต่ละวัน เพื่อนๆ สามารถหาอ่านได้จากเวปไซด์ที่เกี่ยวกับสุขภาพ แต่วิธีที่ง่ายที่สุดคือ อ่านฉลากของสินค้าเช่น มันฝรั่งทอด 1 ห่อ มีน้ำหนัก 10 กรัม มีไขมัน 5 กรัม และมีแป้ง 5 กรัม เพื่อนๆลองทายซิว่ามันฝรั่งทอดห่อนี้มีจำนวนแคลอรี่เท่าไหร่ ……
คำตอบคือ 65 แคลอรี่ 
คำนวณจาก
ไขมัน 1 กรัม ให้พลังงาน 9 แคลอรี่ มันฝรั่งทอด 1 ห่อ มีไขมัน 5 กรัม มีพลังงาน 45 แคลอรี่
แป้ง 1 กรัม ให้พลังงาน 4 แคลอรี่ มันฝรั่งทอด 1 ห่อ มีแป้ง 5 กรัม มีพลังงาน 20 แคลอรี่

Salad

ไม่ยากเลยใช่ไหมสำหรับการลดน้ำหนักด้วยการคำนวณ BMR เพียงแต่ต้องเลือกอาหารที่ทานและใจเย็นๆเท่านั้นเอง มาลดความอ้วนเพื่อสุขภาพที่ดีกันเถอะนะคะ
ที่มาhttp://loseweightforhealthy.blogspot.com/2009/07/bmr.html

อาหารอันตราย อาหารที่ห้ามรับประทาน สำหรับคนไตเสื่อม


อาหารอันตรายสำหรับคนเป็นโรคไต
อาหารอันตรายสำหรับคนเป็นโรคไต
การเสื่อมของไต นั้นสามรถเกิดจากสาเหตุได้หลายอย่าง เช่น โรคเบาหวาน โรคเกาต์ โรคประจำตัวโรคความดันโลหิตสูง สาเหตุของเป็นโรคไตกันมากขึ้นในปัจจุบัน มาจากการรับประทานอาหารนั้นเอง ไตของคนเรานั้น มีทำหน้าที่ในการขับของเสียออกจากร่างกาย เมื่อไตเสื่อม ระบบขับถ่ายก็จะไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ ซึ่งมาจากการที่ร่างกายได้รับสารอาหาร บางชนิดมากเกินกว่าความต้องการปกติ ทำให้ไตต้องทำงานหนัก ไตจึงเสื่อมเร็วขึ้นกว่า ส่วนอาหารที่ทำให้ไตผิดปกติ มีดังนี้
1. โพแทสเซียม คนเราสามารถรับโพแทสเซียมได้วันละ 18 กรัม โดยไม่มีอันตราย โพแทสเซียมส่วนเกินจะถูกขับออกทางไต ผู้ที่ป่วยเป็นโรคไต ไตจะไม่สามารถขับโพแทสเซียมออกจากร่างกายได้เหมือนคนปกติ การขับโพแทสเซียม ออกมาน้อยเกินไป จะทำให้มีโพแทสเซียมคั่งในเลือด ส่งผลให้เกิดอาการกล้ามเนื้อล้า หัวใจเต้นผิดปกติ และอาจทำให้หัวใจหยุดเต้นได้ ดังนั้นผู้ป่วยโรคไต ควรที่จะงดผักและผลไม้ที่มีโพแทสเซียมสูง เช่น หัวปลี มันเทศ เห็ดฟาง มะเขือพวง ผักชี หน่อไม้ฝรั่ง ฟักทอง หอมแดง ดอกกะหล่ำ ทุเรียน กล้วย มะละกอสุก กระท้อน ผลไม้แห้งเช่น ลูกเกด ลูกพรุน
ซึ่งผักและผลไม้ที่มีโพแทสเซียมน้อย ที่เหมาะสำหรับคนไตเสื่อม ได้แก่ ถั่วฝักยาว หอมหัวใหญ่ แตงโมเห็ดหูหนู บวบ ถั่วพลู แตงกวา บวบ ฟักเขียว สับปะรด ชมพู่ เป็นต้น
โซเดียมคลอไรด์ ช่วยรักษาความสมดุลของน้ำในร่างกาย ป้องกันความดันโลหิตสูง ลดการเกิดภาวะหัวใจล้มเหลว ในผู็ป่วยไตเมื่อมนั้น ไตจะไม่สามารถขับโซเดียมคลอไรด์ออกจากร่างกายได้ ทำให้ผู้ป่วยมีอาการบวม เนื่องจากเกิดการคั่งของน้ำในร่างกาย และความดันโลหิตสูง
อาหารอันตรายสำหรับคนเป็นโรคไต
อาหารอันตรายสำหรับคนเป็นโรคไต
คนที่เป็นโรคไต ห้ามกินอาหารรสเค็มจัด เพราะจะยิ่งไปทำให้ไตทำงานหนัก จนเกิดอาการบวมน้ำ ปัสสาวะบ่อย มีอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ และหลอดเลือดได้มากกว่าคนปกติ อาหารที่มีโซเดียมคลอไรด์สูงที่ควรหลีกเลี่ยง หรือรับประทานให้น้อยลงคือ เกลือ น้ำปลา น้ำบูดู ซอสปรุงรส ซีอิ๊ว ซุปก้อน ผงฟู กะปิ อาหารตากแห้ง ผักและผลไม้ดองเค็ม ไข่เค็ม กุ้งแห้ง เนยแข็ง เป็นต้น ทั้งนี้ ควรหลีกเลี่ยงการเติมผงชูรสในอาหารด้วย
ฟอสฟอรัส ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกระดูก ฟอสฟอรัสจะถูกขับออกทางไต แต่เมื่อไตเสื่อมจะทำให้เกิดการคั่งของฟอสฟอรัสในร่างกาย เมื่อระดับฟอสฟอรัสในเลือดสูง ร่างกายจะดึงเอาแคลเซียมในกระดูกมาจับฟอสฟอรัส ทำให้เกิดโรคกระดูกพรุนได้ง่าย หากแคลเซียมกับฟอสฟอรัสจับตัวกันเป็นก้อนมากขึ้น อาจไปเกาะผนังหลอดเลือด ทำให้ผนังหลอดเลือดแดงตามส่วนต่างๆ ของร่างกายเกิดการอุดตันได้ นอกจากนั้นยังพบอีกว่า การกินอาหารที่มีฟอสฟอรัสสูงติดต่อกันเป็นเวลานาน จะยิ่งเร่งการเสื่อมของไตให้รุนแรงมากขึ้น
แหล่งอาหารที่ให้ฟอสฟอรัสสูง และผู้ป่วยโรคไต ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ ผลิตภัณฑ์จากนม เช่น เนยแข็ง โยเกิร์ต ไอศกรีม เนื้อสัตว์ติดกระดูก ไข่แดง ช็อคโกแลต กาแฟ เบียร์ น้ำอัดลม เป็นต้น
อาหารอันตรายสำหรับคนเป็นโรคไต
อาหารอันตรายสำหรับคนเป็นโรคไต
โปรตีน คือ ส่วนประกอบสำคัญของกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อในร่างกาย แม้ร่างกายจะนำเอาโปรตีนไปใช้ได้อย่างเต็มที่ แต่เมื่อเกิดภาวะไตเสื่อม ไม่สามารถขับของเสียได้ตามปกติ ก็จะทำให้เกิดของเสียที่เกิดจากโปรตีน ไปสะสมและคั่งตามอวัยวะต่างๆ ได้มากขึ้น ทั้งนี้แพทย์ได้แนะนำให้ผู้ป่วยโรคไต งดอาหารที่ให้โปรตีนสูง ได้แก่ เนื้อสัตว์ เช่น เนื้อหมู เนื้อไก่ เนื้อวัว ไข่ ถั่ว และผลิตภัณฑ์จากถั่ว เช่น เต้าหู้  นม เป็นต้น
นอกจากต้องเพิ่มความระมัดระวัง ในการเลือกกินอาหารต้องห้ามในข้างต้นแล้ว ผู้ป่วยโรคไตโดยเฉพาะผู้ที่มีอาการบวมน้ำ ควรมีการควบคุมปริมาณน้ำที่ดื่มในแต่ละวัน โดยควรดื่มน้ำให้เหลือวันละประมาณ 3-4 แก้วต่อวัน (ประมาณ 750 -1,000 ซีซี) เพื่อช่วยให้ไตซึ่งทำหน้าที่ในการขับปัสสาวะทำงานน้อยลง ส่วนผู้ป่วยที่ยังไม่มีอาการบวมน้ำ สามารถดื่มน้ำได้ตามปกติ
ที่มา http://kvamsook.com

อาหารสำหรับคนเป็นเบาหวาน อาหารสำหรับผู้ป่วย เบาหวาน


อาหารสำหรับคนเป็นเบาหวาน
อาหารสำหรับคนเป็นเบาหวาน

สำหรับผู้ป่วโรคเบาหวานนั้น การควบคุมอาหาร และ ใสใจในการกินเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ อาหารสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน จะแบ่งอาหารออกเป็น 3 กลุ่ม คือ อาหารที่ห้ามรับประทาน อาหารที่ต้องจำกัดปริมาณในการกิน กอาหารที่รับประทานได้ไม่จำกั
  • 1. กลุ่มที่ห้ามรับประทาน
  • น้ำตาลทุกชนิด รวมทั้งน้ำผึ้งด้วย
  • ขนมหวานและขนมเชื่อมต่างๆ เช่น ทองหยิบ ฝอยทอง ขนมชั้น สังขยา ฯลฯ
  • ผลไม้กวน เช่น มะม่วงกวน ทุเรียน สับปะรดกวน เป็นต้น
  • น้ำหวานต่างๆ รวมทั้งน้ำอัดลม และเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล เช่น ชา กาแฟ
  • ผลไม้ที่มีรสหวานจัด เช่น ทุเรียน องุ่น ลำไย มะม่วงสุก ขนุน ละมุด น้อยหน่า ลิ้นจี่ อ้อย ผลไม้แช่อิ่ม หรือเชื่อมน้ำตาลทั้งหลาย
  • 2. กลุ่มที่ต้องจำกัดปริมาณ
  • อาหารพวกแป้ง ข้าว เผือก มัน ถั่วเมล็ดแห้งต่างๆ ก๋วยเตี๋ยว ขนมจีน บะหมี่ ขนมปัง มักกะโรนี เป็นต้น
  • ลดอาหารไขมัน เช่น ขาหมู ข้าวมันไก่ หมูสามชั้น หรืออาหารทอด ตลอดจนไขมันจากพืชบางอย่าง เช่น กะทิ น้ำมันมะพร้าว น้ำมันปาล์ม
  • อาหารสำเร็จรูป หรือ อาหารพิเศษสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน เช่น น้ำตาลจากผลไม้
  • ผักประเภทหัวที่มีน้ำตาลหรือแป้งมาก เช่น หัวผักกาด ฟักทอง หัวหอม กระเจี๊ยบ ถั่วงอกหัวโต หัวปลี ฯลฯ
  • ผลไม้บางอย่าง เช่น ส้ม เงาะ สับปะรด มะละกอ ฝรั่ง กล้วย เป็นต้น
  • 3. กลุ่มที่รับประทานได้ไม่จำกัด
  • ผักทุกชนิด (ยกเว้นผักประเภทที่มีแป้งมาก ได้แก่ ฟักทอง ถั่วลันเตา แครอท สะเดา)
  • อาหารโปรตีนประเภทเนื้อสัตว์ เช่น ไก่ ปู ปลา กุ้ง เนื้อ หมู และโปรตีนจากพืช เช่น ถั่ว เต้าหู้ เป็นต้น
  • ข้อพึงปฏิบัติในการควบคุมอาหาร
  • 1. เลือกรับประทานอาหาร โดยคำนึงถึงพลังงานที่ได้ตามประเภทของอาหารคือ
  • - พลังงานจากคาร์โบไฮเดรท (แป้ง) ประมาณ 55 – 60 %
  • - พลังงานจากโปรตีน (เนื้อสัตว์) ประมาณ 15 – 20 %
  • - พลังงานจากไขมัน ประมาณ 25 %
  • 2. ผู้ที่มีน้ำหนักเกิน ต้องลดปริมาณลง อาจจะเหลือเพียงครึ่งหนึ่งของที่เคยรับประทาน ห้ามน้ำตาลและของหวานทุกชนิด รวมทั้ง อาหารมันๆ และของทอด
  • 3. เลือกรับประทานอาหารที่มีเส้นใยมาก เช่น ข้าวซ้อมมือ ถั่วฝักยาว ถั่วแขก ผักทุกชนิด หรือ เม็ดแมงลัก ซึ่งจะช่วยระบายอ่อนๆ ด้วย
  • 4. อย่ารับประทานจุกจิกและไม่ตรงเวลา ถ้าพลาดมื้ออาหารไป อาจเกิดน้ำตาลในเลือดต่ำเกินไป
  • 5. รับประทานในปริมาณที่่สม่ำเสมอ และคงที่ ไม่ควรรับประทานมากเกินไป หรือน้อยเกินไปในบางมื้อ จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดควบคุมได้ยาก
  • 6. ผู้ที่เป็นความดันเลือดสูง หรือโรคไตร่วมด้วย ไม่ควรรับประทานอาหารรสเค็มจัด ควรจะลดอาหารเค็ม
  • 7. ผู้ป่วยที่รักษาด้วยยาฉีดอินซูลินที่ออกฤทธิ์ยาว เช่น NPH หรือ Monotard ฤทธิ์ยาอยู่ได้นาน 24 ชั่วโมง และออกฤทธิ์สูงสุดในตอนเย็น หรือกลางคืน อาจต้องจัดแบ่งอาหารออกเป็น 4-6 มื้อ โดยเพิ่มอาหารว่างตอนบ่ายและมื้อกลางคืน ควรจัดแบ่งปริมาณให้เหมาะสม ไม่ให้บางมื้อมากเกินไป
  • 8. ถึงแม้ระดับน้ำตาลในเลือดปกติแล้ว ผู้ป่วยก็ต้องคุมอาหารตลอดไป
  • 9. ขอให้ฝึกปฏิบัติจนเป็นนิสัย แล้วท่านจะรู้สึกว่าไม่ใช่เป็นเรื่องยากในการควบคุมอาหาร
  • ปริมาณอาหารที่ควรรับประทานในแต่ละวัน ในกลุ่มอาหารที่ต้องจำกัดปริมาณ
    หมวดที่ 1 นม วันละ 2-3 ส่วน นม 1 ส่วน คือ 240 cc. หรือนมผง 1/4 ถ้วยตวง
    หมวดที่ 2 เนื้อสัตว์ วันละ 2-3 ส่วน เนื้อสัตว์ 1 ส่วน – 30 กรัม หรือไข่เป็ดไข่ไก่ 50 กรัม
    หมวดที่ 3 ข้าวและแป้ง วันละ 6-11 ส่วน
  • ข้าวสุก 1 ส่วน 1 ทัพพี
  • ขนมปังปอนด์ 1 ส่วน 1 แผ่นใหญ่
  • ขนมจีน 1 ส่วน 2 จับ
  • ก๋วยเตี๋ยว 1 ส่วน 1/2 ถ้วยตวง
  • วุ้นเส้นแช่น้ำ 1 ส่วน 1/2 ถ้วยตวง
  • หมวดที่ 4 ผักที่ต้องจำกัดปริมาณ วันละ 2-3 ส่วน
    ผัก 1 ส่วน เ่ท่ากับ ผักน้ำหนัก 100 กรัม ได้แก่ ถั่วฝักยาว ถั่วลันเตา ดอกกะหล่ำ หอมหัวใหญ่ ฟักทอง บร๊อคโคลี่ ใบขี้เหล็ก ดอกกุ่ยช่าย ชะอม พริกหวาน สะเดา แครอท สะตอ เห็ด ผักกะเฉด ข้าวโพดอ่อน
    หมวดที่ 5 ผลไม้ วันละ 2-4 ส่วน
  • ตัวอย่าง ผลไม้ 1 ส่วน เท่ากับจำนวน
  • กล้วยน้ำว้าสุก, น้อยหน่า 1 ผลเล็ก
  • กล้วยหอม, มะม่วง, แอปเปิ้ล 1/2 ผล
  • ส้มเขียวหวาน, กล้วยไข่. ละมุด 1 ผล
  • เงาะ 3 ผล
  • มะละกอ, สับปะรด 6 ชิ้นคำ
  • แคนตาลูป 8 ชิ้นคำ
  • แตงโม 10 ชิ้นคำ
  • ลางสาด, ชมพู่ 5 ผล
  • องุ่น 10-12 ผล
  • แตงไท, มะพร้าวอ่อน, สตอเบอรี่ 1 ถ้วย
  • เนื้อมะพร้าวอ่อน 1/2 ถ้วย
  • ส้มโอ 1/5 ผล
  • หมวดที่ 6 ไขมัน ทานให้น้อยที่สุด
    ควรเป็นไขมันจากพืช เช่น น้ำมันรำ น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด น้ำมันฝ้าย ยกเว้น น้ำมันมะพร้าว และน้ำมันปาล์ม ควรงด
  • ที่มา http://kvamsook.com/

อาหารสำหรับผู้เป็นเบาหวาน อาหารที่เหมาะสำหรับคนเป็นโรคเบาหวาน


อาหารสำหรับผู้เป็นเบาหวาน
อาหารสำหรับผู้เป็นเบาหวาน
สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานแล้วนั้น การรักษาสุขภาพเป็นสิ่งสำคัญมากๆ เรื่องที่สำคัญที่สุด ที่ควรให้ความใส่ใจ คือ เรื่องของอาหารการกิน มาดูกันเลยว่า อาหารชนิดไหน ที่เหมาะสำหรับ คนเป็นโรคเบาหวานกันบ้าง จริงๆแล้วนั้น อาหารสำหรับผู้เป็นเบาหวาน คือ อาหารทั่วไปที่ไม่แตกต่างจากอาหาร ที่ทุกคนในครอบครัวควรรับประทาน แต่เป็นอาหารที่มีความหลากหลาย ที่ร่างกายต้องการครบถ้วนและสมดุล จึงเป็นอาหารที่ทุกคนในครอบครัว สามารถรับประทานร่วมกับผู้ป่วยได้ สิ่งที่จะต้องคำนึงถึงเสมอ คือ ปริมาณและชนิดของอาหาร ที่ควรรับประทาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งปริมาณ และชนิดของแป้งและไขมัน เป็นสิ่งสำคัญในการควบคุม ระดับน้ำตาลและไขมันในเลือด รวมถึงการรักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ นอกจากนี้ สิ่งที่ควรปฎิบัติให้เป็นนิสัย คือ การรับประทานอาหารมื้อหลัก หรืออาหารว่างให้เป็นเวลาทุกวัน และรับประทานในปริมาณ ที่ใกล้เคียงกันในแต่ละวัน ไม่งดอาหารมื้อใดมื้อหนึ่ง ผู้ป่วยสามารถที่จะลองอาหารแปลกๆ ใหม่ๆ ได้ เพื่อไม่ให้เกิดความจำเจ ถ้าต้องการลดน้ำหนัก ให้ลดอาหารที่รับประทานในแต่ละวัน แต่ไม่ควรงดมื้อใดมื้อหนึ่ง เพราะอาจจะทำให้รับประทานเกินอัตรา ในมื้อต่อไป ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือด ขึ้นลงไม่สม่ำเสมอ
ผู้เป็นเบาหวานอาจใช้ปิรามิดแนะแนวอาหาร หรือธงโภชนบัญญัติของไทย เป็นแนวทางเลือกรับประทานอาหาร ได้หลากหลายและสมดุล เนื่องจากไม่มีอาหารชนิดใดชนิดเดียว ที่จะให้สารอาหารครบถ้วน ควรเลือกรับประทานอาหารให้ครบหมวดหมู่ทุกวัน เพื่อให้ได้พลังงานและคุณค่า ที่พอเหมาะกับร่างกายของแต่ละคน ซึ่งขึ้นอยู่กับ อายุ เพศ ขนาดรูปร่าง และระดับกิจกรรมการทำงานในแต่ละวัน ปรึกษานักโภชนบำบัดเพื่อรับคำแนะนำ ในการรับประทานอาหารอย่างถูกต้อง รวมถึงระดับพลังงานที่เหมาะสม ในการควบคุมเบาหวามอย่างมีคุณภาพ
สิ่งที่ผู้เป็นเบาหวานควรให้ความสนใจกับฉลากโภชนาการ
ควรเปรียบเทียบปริมาณหนึ่งหน่วยบริโภค กับหมวดอาหารแลกเปลี่ยน ซึ่งโดยปกติจะไม่เท่ากัน
ปริมาณคาโบร์ไฮเดรตทั้งหมด และปริมาณน้ำตาล จะช่วยให้ผู้เป็นเบาหวานสามารถแลกเปลี่ยนอาหาร ประเภทขนมหวานได้เล็กน้อยในบางโอกาส
ปริมาณพลังงาน ไขมันรวม ไขมันอิ่มตัว และคอเลสเตอรอล สำหรับผู้ที่ต้องการนับพลังงานและไขมัน รวมถึงผู้ที่ต้องการควบคุมคอเลสเตอรอล และน้ำหนักตัว
ปริมาณโซเดียมเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่มีโรคความดัน และลดความเสี่ยงของโรคไต
แนวทางการบริโภคของผู้ป่วยโรคเบาหวานเพื่อสุขภาพประจำวัน
  • 1. ข้าว/แป้ง/ถั่ว/เมล็ดธัญพืช ควรเลือกรับประทานข้าวซ้อมมือ หรือขนมปังที่ทำจากแป้งที่ไม่ได้ขัดสี เพื่อให้ร่างกายได้รับเส้นใยอาหารมากขึ้น ธัญพืช เช่น ถั่วเขียว ถั่วดำ ถั่วแดง เป็นแหล่งของใยอาหาร เลือกอาหารว่างที่มีไขมันต่ำ เช่น ข้าวโพด เผือก มัน ฟักทอง ขนมปัง ธัญพืช เป้นต้น
  • 2. ผัก เลือกรับประทานผักให้หลากหลาย เพื่อให้ได้รับวิตามิน เกลือแร่ และใยอาหารเพียงพอ หลีกเลี่ยงการผัดผักด้วยน้ำมันมากๆ หรือการเติมซอสที่เค็มจัด
  • 3. ผลไม้ เลือกผลไม้สดแทนน้ำผลไม้ เพราะจะได้กากใยอาหารมากกว่า ถ้าเลือกน้ำผลไม้แทนผลไม้สด ควรเป็นน้ำผลไม้ 100 %
  • 4. นม และผลิตภัณฑ์นม (พร่อง หรือขาดไขมัน) เลือกนม และผลิตภัณฑ์นมพร่องมันเนย นอกจากให้โปรตีนสูงแล้ว ยังให้แคลเซี่ยมสูงด้วย หลีกเลี่ยงนมปรุงแต่งรสต่างๆ
  • 5. โปรตีน หรือเนื้อสัตว์ (ไขมันต่ำ)เลือกปลาและเต้าหู้ให้บ่อยขึ้น เลือกเนื้อล้วน ไม่ติดหนัง และมัน ผู้ที่มีไขมันในเลือดสูง ควรจำกัดปริมาณไข่แดง เครื่องในสัตว์ เป็นต้น
  • 6.ไขมัน ของหวาน แอลกอฮอล์ อาหารที่มีเกลือสูง หลีกเลี่ยงขนมหวาน ที่มีทั้งน้ำตาลและไขมันสูง เช่น คุกกี้ เค้ก ไอศกรีม เป็นต้น หากต้องการรสชาติหวาน อาจเลือกใช้ผลิตภัณฑ์สารให้ความหวานแทนน้ำตาล จำกัดไขมันที่จะใช้ปรุงอาหารแม้จะเป็นน้ำมันพืช หลีกเลี่ยงไขมันสัตว์ เช่น น้ำมันหมู หมูสามชั้น และเนยสด จำกัดกะทิ หลีกเลี่ยงการทอด และผัดที่ใช้น้ำมันมาก ปรุงอาหารโดยวิธี ตุ๋น ต้ม นึ่ง ย่าง อบ ยำ หลีกเลี่ยงอาหารหมักดองที่มีส่วนผสมของเกลือสูง
  • 7. หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ซึ่งให้พลังงานใกล้เคียงกับไขมัน และร่างกายสามารถเปลี่ยนเป็นไขมัน (ไตรกีเซอร์ไรด์) ได้

10 อันดับ พืชผักที่ช่วย ขจัดสารพิษในร่างกาย


กล้วยน้ำว้า
กล้วยน้ำว้า
สำหรับความรีบเร่ง ในชีวิตประจำวันของทุกคนแล้ว เราไม่สามรถรู้ได้เลยว่า อาหารที่เรารับประทาน น้ำดื่ม หรือ สิ่งต่างๆ ที่ร่างกายรับเข้าไปนั้น มีสารพิษที่มีอันตรายกับร่างกายของเราอยู๋บ้าง วันนี้เราเลยจะขอนำเสนอวิธีง่ายๆ ในการกำจัดสารพิษ ในร่างกายของเรา ทำได้ง่ายๆ ด้วยการกิน พืชและผัก ตามรายชื่อต่อไปนี้
  1. ส้มโอ หรือ เกรปฟรุต มีสารเพกติน มีประโยชน์ คือ ช่วยลดระดับคอเรสเตอรอลและต้านการเกิดมะเร็ง
  2. กระเทียม มีประโยชน์ คือ ลดความดันและฆ่าเชื้อแบคทีเรีย
  3. บลูเบอรี่ มีประโยชน์ คือ มีสารแอสไพรินลดแบคทีเรียในกระเพาะปัสสาวะ
  4. พีชตระกูลกระหล่ำ มีประโยชน์ คือ ช่วยกำจัดของเสียจากสิ่งแวดล้อม
  5. บีทรูต มีประโยชน์ คือ ทำความสะอาด เลือด ตับและระบบน้ำเหลือง
  6. อะโวคาโด มีประโยชน์ คือ มีสารกลูตาไทโอน(Glutathione ) ช่วยลดคอเลสเตอรอลและป้องกันหลอดเลือดอุดตัน
  7. ตำลึง มีประโยชน์ คือ ช่วยผลิตน้ำดีที่จะทำให้ลำไส้ขับสารพิษออกจากร่างกายได้ดีขึ้น
  8. แอปเปิ้ล มีประโยชน์ คือ ช่วยต่อต้านการเกิดมะเร็ง ฆ่าเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัส
  9. อัลมอนต์ มีประโยชน์ คือ ช่วยคุมระดับน้ำตาลในเลือด
  10. กล้วย มีประโยชน์ คือ บำรุงและสร้างความแข็งแรงให้กับกระเพาะอาหาร

5 วิธี รับประทาน อาหารเพื่อสุขภาพ ให้ได้ผล

                                               อาหารเพื่อสุขภาพ
หลายๆ คนมักจะถามหา อาหารสุขภาพ วันนี้เราเลยจะขอ แนะนำเคล็ดลับ คุณสามรถรับประทานอาหารสุขภาพ เพื่อให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง 5 วิธีดังนี้ 1. เริ่มจากวางเป้าหมาย เป้าหมายที่ดีย่อมทำให้ประสบผลสำเร็จได้ไม่ยาก โดยเริ่มจากเป้าหมายที่มีความเฉพาะเจาะจงในแต่ละเรื่อง สามารถวัดและประเมินผลได้และทำได้จริงด้วย มีการกำหนดระยะเวลาให้เหมาะสมได้เป็นอย่างดี และกำหนดระยะเวลาได้อย่างเหมาะสม เช่น จะรับประทานอาหารที่ดี มีประโยชน์ก็เปลี่ยนเป็น จะรับประทานอาหารจานด่วนน้อยกว่า 3 ครั้งต่อเดือน 2. เขียนเป้าหมายไว้และเลือกมา 1-2 ข้อ และดำเนินการตามเป้าหมายอย่างมั่นคง สิ่งสำคัญที่สุดคืออย่าให้เป้าหมายที่ไม่สำเร็จครอบงำคุณนานเกินไป คนที่ประสบความสำเร็จสามารถเปลี่ยนเป้าหมายใหม่ได้เสมอเมื่อถึงเวลา เวลาที่เหมาะสมอยู่ที่ 3 สัปดาห์สำหรับพฤติกรรมใหม่ 1 พฤติกรรม 3. ลดระดับเป้าหมายให้เล็กลง ยกตัวอย่างหากคุณต้องการที่จะลดน้ำหนักลงให้ได้ถึง 10 กิโลกรัม ก็เป็นสิ่งที่ดี แต่อาจจะทำให้ความพยายามมอดลงไปเสียก่อน เพราะไม่สามารถทำให้สำเร็จได้จริงๆดังนั้นเป้าหมายเล็ก ๆ ก็จะทำให้เรารู้สึกว่าทำได้จริงๆ เช่น เดือนหน้าเราจะลดน้ำหนักให้ได้ 1 กิโลกรัม 4. ขอกำลังจากเพื่อนและครอบครัว ไม่มีเสียงไหนจะให้กำลังใจได้ดีกว่าคนใกล้ตัว เมื่อเกิดความรู้สึกท้อแท้และเบื่อหน่ายลองขอรับการสนับสนุนและความช่วยเหลือจากคนใกล้ตัวก็จะทำให้มีแรงลุกไปทำตามเป้าหมายได้ และช่วยเตือนสติเมื่อเดินนอกเส้นทางของเป้าหมาย 5. วางแผนล่วงหน้า [...]

อาหารเพื่อสุขภาพ


10 วิธีการกินอาหารเพื่อสุขภาพที่ดี
     ในแต่ละวันเราจำเป็นต้องรับประทานอาหารมากมาย มีคำแนะนำจากหลายสำนักให้กินนั่น ห้ามกินนี่จนไม่รู้จะเชื่อใครดี วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับง่ายๆ ของการกินให้ได้ประโยชน์สูงสุดต่อสุขภาพอย่างเต็มที่มาฝาก
1. กินอาหารเช้า เป็นพฤติกรรมพื้นฐานที่ส่งผลต่อจิตใจ และพลังชีวิตของคุณไปตลอดทั้งวัน และช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ ช่วยเผาผลาญพลังงานให้ดีขึ้น ทำให้คุณกินอาหารในมื้ออื่นๆ น้อยลง
2. เปลี่ยนน้ำมันที่ใช้ปรุงอาหาร ยอมจ่ายแพงสักนิดใช้น้ำมันมะกอก หรือน้ำมันดอกทานตะวัน ปรุงอาหารแทนน้ำมันแบบเดิมที่เคยใช้ เพราะเป็นไขมันที่ไม่เป็นโทษต่อร่างกาย และมีกรดไขมันอิ่มตัวที่เป็นประโยชน์ ช่วยลดไขมันในเส้นเลือดได้เป็นอย่างดี
3. ดื่มน้ำให้มากขึ้น คนเราควรดื่มน้ำวันละ 2 ลิตรเป็นอย่างน้อย (ยกเว้นในรายที่ไตทำงานผิดปกติ) เพื่อหล่อเลี้ยงเซลล์ในร่างกาย ฟื้นฟูระบบขับถ่าย รักษาระดับความเข้มข้นของเลือด จะทำให้สดชื่นตลอดวันเลยทีเดียว
4. เสริมสร้างแคลเซียมให้กับกระดูก ด้วยการดื่มนม กินปลาตัวเล็กทั้งตัวทั้งก้าง เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ผักใบเขียว เพราะแคลเซียมเป็นสิ่งจำเป็นที่จะเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อและกระดูก ทำให้ระบบประสาททำงานได้เต็มประสิทธิภาพ
5. บอกลาขนมและของกินจุบจิบ ตัดของโปรดประเภทโดนัท คุกกี้ เค้กหน้าครีมหนานุ่ม ออกจากชีวิตบ้าง แล้วหันมากินผลไม้เป็นของว่างแทน วิตามิน และกากใยในผลไม้ มีประโยชน์กว่าไขมัน และน้ำตาลจากขนมหวานเป็นไหนๆ
6. สร้างความคุ้นเคยกับการกินธัญพืชและข้าวกล้อง เมล็ดทานตะวัน ข้าวฟ่างและลูกเดือย รวมทั้งข้าวกล้องที่เคยคิดว่าเป็นอาหารนก ได้มีการศึกษาและค้นคว้าแล้ว พบว่า ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจถึง 1 ใน 3 เลยทีเดียว เพราะอุดมไปด้วยไฟเบอร์ ที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และควบคุมน้ำตาลในเลือดให้สมดุล
7. จัดน้ำชาให้ตัวเอง ทั้งชาดำ ชาเขียว ชาอู่ล่ง หรือเอิร์ลเกรย์ ล้วนแล้วแต่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ การดื่มชาวันละ 1 ถึง 3 แก้ว ช่วยลดอัตราเสี่ยงมะเร็งกระเพาะอาหารถึง 30%
8. กินให้ครบทุกสิ่งที่ธรรมชาติมี คุณต้องพยายามรับประทานผักผลไม้ต่างๆ ให้หลากสี เป็นต้นว่า สีแดงมะเขือเทศ สีม่วงองุ่น สีเขียวบล็อกเคอรี สีส้มแครอท อย่ายึดติดอยู่กับการกินอะไรเพียงอย่างเดียว เพราะพืชต่างสีกัน มีสารอาหารต่างชนิดกัน แถมยังเป็นการเพิ่มสีสันการกินให้กับคุณด้วย
9. เปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนรักปลา การกินปลาอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง ได้ทั้งความฉลาดและแข็งแรง เพราะปลามีกรดไขมันโอเมก้า 3 และโปรตีน ที่ช่วยควบคุมการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติ และบำรุงเซลล์สมอง ทั้งยังมีไขมันน้อย อร่อย ย่อยง่าย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการหุ่นเพรียวลมเป็นที่สุด
10. กินถั่วให้เป็นนิสัย ทำให้ถั่วเป็นส่วนหนึ่งของอาหารที่คุณต้องกินทุกวัน วันละสัก 2 ช้อน ไม่ว่าจะเป็นของหวานของคาว หรือว่าของว่างก็ทั้งโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุสำคัญๆ หลายชนิด ต่างพากันไปชุมนุมอยู่ในถั่วเหล่านี้ ควรกินถั่วอย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่ควรกินครั้งละมากๆ เพราะมีแคลอรี่สูง อาจทำให้อ้วนได้
   ถ้าปฏิบัติให้ได้ครบทุกข้อตามคำแนะนำข้างต้นนี้จนเป็นนิสัย สุขภาพดีๆ จะไปไหนเสีย !!
 
ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์ 7 กรกฎาคม 2551 11:11 น. 

8 ผลไม้ลดความอ้วน ที่สาว ๆ ต้องลิ้มลอง

8 ผลไม้ลดความอ้วน ที่สาว ๆ ต้องลิ้มลอง

8 ผลไม้ลดความอ้วน ที่สาว ๆ ต้องลิ้มลอง
    คุณ สาว ๆ คนไหนที่ปรารถนาจะมีหุ่นเพรียวสวยได้สัดส่วน ก็มักจะเลือกทานผลไม้เป็นของว่าง หรือบางรายก็ทานผลไม้แทนอาหารหลักบางมื้อเลยทีเดียว เพื่อที่ตัวเลขบนเครื่องชั่งน้ำหนักจะได้ลดลงสมใจ ว่า แต่...จะเลือกทานผลไม้อะไรดีล่ะ ถึงจะช่วยลดความอ้วนได้แบบสบาย ๆ แถมยังอิ่มท้อง วันนี้ เราก็มีผลไม้ 8 ชนิด ที่จะช่วยให้คุณสาว ๆ ลดความอ้วนได้ไม่ยากมาบอกกัน
 
 แอปเปิ้ล

          ผลไม้สีแดง ๆ เขียว ๆ นี้ สามารถช่วยคุณสาว ๆ ลดความอ้วนได้อย่างสบาย ๆ เลยล่ะ เพราะแอปเปิ้ลได้ชื่อว่าเป็นราชาของผลไม้ลดน้ำหนัก เนื่องจากแอปเปิ้ลมีเส้นใยอาหาร หรือไฟเบอร์มากมาย เมื่อทานเข้าไปแล้ว จะช่วยให้เรารู้สึกอิ่มท้องนาน เพราะน้ำตาลฟรักโทสในแอปเปิ้ลจะเปลี่ยนรูปเป็นพลังงานอย่างช้า ๆ ช่วยให้ร่างกายไม่รู้สึกหิว

          นอกจากนั้นแล้ว แอปเปิ้ลยังให้พลังงานเพียงแค่ 59 แคลอรี จึงไม่ทำให้อ้วน แถมยังมีวิตามิน แร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอีกมากมาย โดยเฉพาะ "เพคติน" ที่มีคุณสมบัติพองตัวได้มาก มันจึงไปเพิ่มกากใยในอาหาร ทำให้ระบบขับถ่ายเป็นไปอย่างปกติ จึงช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ ช่วยจับคอเลสตอรอล และช่วยกำจัดสารพิษในร่างกายได้ด้วย
 

 ฝรั่ง

          สุดยอดผลไม้ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยวิตามินซีชนิดนี้ ช่วยให้คุณลดความอ้วนได้ไม่ยาก เพราะฝรั่งเป็นผลไม้ที่ให้พลังงานต่ำ แถมยังเคี้ยวเพลินอีกต่างหาก จึงเหมาะกับสาว ๆ ที่อยากกินจุบกินจิบเรื่อย ๆ ซึ่งนอกจากจะช่วยลดความอ้วนได้แล้ว วิตามินซีในฝรั่งยังช่วยสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวพรรณเต่งตึง ไร้ริ้วรอยอีกด้วย

          เพราะฉะนั้น หิวครั้งหน้า ก็อย่าลืมคว้าฝรั่งมาทานแทนขนมกรุบกรอบนะคะ อ๊ะ...คำเตือนก็คือ ทานแต่ฝรั่งเปล่า ๆ เท่านั้นนะ อย่าเผลอจิ้มพริกเกลือ พริกน้ำตาล เด็ดขาด เพราะจะทำให้อ้วนได้นะเออ

 แตงโม

          แตงโมลูกโต ๆ รสหวาน ๆ ไม่ได้ทำให้คุณอ้วนแต่ประการใด เพราะแตงโม 1 ถ้วย ให้พลังงานเพียง 50 แคลอรีเท่านั้น แถมยังให้ไขมันน้อยนิด และยังชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำถึง 93% ของส่วนประกอบทั้งหมด ทำให้เรารู้สึกอิ่มเร็ว เพราะฉะนั้น ไม่ต้องกลัวเลยว่า แตงโม จะทำให้คุณสาว ๆ อ้วนได้ ตรงกันข้าม หากรับประทานแตงโมแทนอาหารมื้อเย็นหนัก ๆ ก็ช่วยลดความอ้วนได้ด้วย แต่ควรทานอย่างพอดี ไม่มากไปนะจ๊ะ ไม่เช่นนั้นท้องไส้จะปั่นป่วนเอาได้ แถมยังต้องเข้าห้องน้ำปัสสาวะบ่อย ๆ ด้วย

 
ส้ม

          สาว ๆ หลายคนมักแกะกากส้มออกจนหมด เพื่อให้ทานได้ง่าย ๆ แต่รู้ไหมว่า คุณกำลังทิ้งของดีไปเสียแล้ว เพราะกากใยของส้มนั่นแหละคือสิ่งที่จะช่วยควบคุมน้ำหนักตัวให้สาว ๆ ได้ โดยกากใยจะช่วยทำให้รู้สึกอิ่มท้องเร็ว และช่วยทำให้ระบายท้องได้ดี อย่างไรก็ตาม ส้ม เป็นผลไม้ที่ให้พลังงานค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับผลไม้ลดความอ้วนชนิดอื่น ๆ ดังนั้น ควรรับประทานแต่พอดีแล้วกันนะ

 มะละกอ

          มะละกอ เป็นผลไม้ที่ช่วยขับสารพิษของเสียออกจากร่างกาย แถมยังช่วยกำจัดไขมันต่าง ๆ ภายในร่างกายได้ด้วย โดยมะละกอมีเอนไซน์ปาเปน ที่จะช่วยย่อยโปรตีน และย่อยอาหาร จึงช่วยลดน้ำหนักได้อีกทางด้วย ส่วนใครที่อยากมีผิวพรรณสวย มะละกอ ก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสน เพราะมะละกอมีวิตามินซี และเบตาแคโรทีนสูง จึงช่วยบำรุงผิวพรรณได้

 แก้วมังกร

          แก้วมังกรเป็นผลไม้ที่ช่วยให้คุณอิ่มท้องได้ง่าย ๆ ไม่แพ้ผลไม้ชนิดอื่น เพราะแก้วมังกรมีกากใยสูงและแคลอรีต่ำ แถมยังมีรสหวานอร่อย หลาย ๆ คน จึงเลือกรับประทานแก้วมังกรเป็นอาหารเย็น หรือทานรวมกับผักสลัดอื่น ๆ เพื่อช่วยลดน้ำหนัก โดยไม่ต้องห่วงว่าจะความหวานจะไปเป็นไขมันสะสมในภายหลัง

          และนอกจากลดน้ำหนักแล้ว ผลพลอยได้จากแก้วมังกรที่คุณสาว ๆ ไม่ควรพลาดอีกเช่นกันก็คือ แก้วมังกรเป็นผลไม้อีกหนึ่งชนิดที่มีวิตามินซีสูงมาก ดังนั้น จึงช่วยบำรุงผิวพรรณไปในตัว แถมยังช่วยกระตุ้นต่อมน้ำนมดีต่อคุณแม่ที่เพิ่งคลอดบุตรด้วย
 
 กีวี

          อีกหนึ่งผลไม้ยอดนิยมของสาว ๆ ที่ปรารถนาจะลดน้ำหนักเลยล่ะ เพราะกีวีเป็นผลไม้ที่มีกากใยมากกว่าแอปเปิ้ลและส้มถึง 25% ทำให้รู้สึกอิ่มเร็วและนาน แถมยังมีวิตามินซี และวิตามินอีสูง ซึ่งจะช่วยให้ผิวพรรณสดใส ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ลดคอเลสเตอรอลในเลือด บำรุงเซลล์เม็ดเลือดแดงให้แข็งแรง และช่วยสลายไขมันในเลือดด้วย ใครที่ชอบทานกีวีจึงได้ประโยชน์จากกีวีแบบหลายเด้งเลย

 เกรปฟรุต 

          สุดยอดผลไม้ไดเอตที่กำลังเป็นที่นิยม เพราะเมื่อไม่นานมานี้ นักวิจัยในสหรัฐอเมริกาพบว่า การกิน "เกรปฟรุต" ครึ่งลูกก่อนมื้ออาหารจะช่วยให้น้ำหนักลดลงได้อย่างเหลือเชื่อ โดยสามารถลดปริมาณแคลอรีได้ถึง 150 แคลอรีต่อวันเชียวนะ แถมเกรปฟรุตครึ่งลูกก็มีแคลอรีเพียงแค่ 39 แคลอรีเท่านั้นเอง
ที่มา: www.kapook.com

กินผักตามฤดู 12 เดือน

กินผักตามฤดู 12 เดือน

กินผักตามฤดู 12 เดือน
     อย่างที่รู้ ๆ กันอยู่นะคะว่า ผักสีเขียว ๆ จะช่วยให้เราผิวพรรณผ่องใส และระบบการขับถ่ายทำงานดีขึ้น ยิ่งถ้าเราได้รับประทานผักสด ๆ ด้วยแล้ว จะยิ่งได้วิตามินซีตามไปด้วยนอกจากนั้นผักทุกประเภทยังอุดมไปด้วยสารโพแทสเซียม ซึ่งช่วยให้เกิดภาวะสมดุลในร่างกายของเรา

          เมื่อรู้ถึงคุณประโยชน์ของผักอย่างนี้แล้ว เห็นทีคงต้องอาศัยข้อมูลจาก รศ.ดร.ประไพศรี ศิริจักรวาล หัวหน้าฝ่ายมนุษยโภชนาการ สถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา มาเล่าสู่กันฟังแล้วล่ะค่ะว่า ถ้าจะเลือกผักตามฤดูกาลเพื่อหลีกเลี่ยงสารพิษ ในแต่ละเดือนเราควรเลือกผักประเภทไหนที่เหมาะสม

เดือนมกราคม

 แครอต กระหล่ำดอก ผักกาดขาว ผักกาดเขียวปลี และปวยเล้ง

          คุณค่าทางสารอาหาร : ผักกาดเขียวและปวยเล้งจะมีแคลเซียมสูง และมีเบต้าแคโรทีน ช่วยบำรุงสายตา และเป็นตัวต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความเสื่อมของร่างกาย ส่วนแครอตจะให้สารเบต้าแคโรทีน กรรมวิธีการปรุงเราสามารถหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ เพื่อนำมาผัดหรือใส่ลงในซุปได้

 
เดือนกุมภาพันธ์

 มะเขือเทศ ผักโขม แตงกวา

          คุณค่าทางสารอาหาร : เม็ดแตงกวาและเปลือกจะให้ใยอาหาร ผักโขมมีเบต้าแคโรทีนสูง ส่วนมะเขือเทศจะให้สารแคโรตินอยด์ ที่ช่วยต้านปฏิกิริยาออกซิเดชั่น หรือต้านอนุมูลอิสระ (ภาวะชะลอความเสื่อมของร่างกาย) เราสามารถนำมาซอยให้เป็นชิ้นเล็ก ๆ เพื่อใส่ในน้ำซุป หรือผัดลงในข้าว หรือในไข่เจียวก็ได้ทั้งนั้น
 
เดือนมีนาคม

 ผักกวางตุ้ง เห็ดฟาง ถั่วฝักยาว หอมใหญ่ คะน้า

          คุณค่าทางสารอาหาร : ผักคะน้าจะมีแคลเซียมสูง แต่บางคนอาจจะรู้สึกว่าขม ดังนั้น ถ้าเราหั่นใบเป็นชิ้นฝอย ๆ และลอกก้านคะน้าให้เหลือเพียงสีขาวใส ๆ แล้วนำมาผัดโดยเพิ่มแครอตผสมเข้าไปในข้าว จะทำให้อาหารมื้อนั้นอร่อยถูกปากยิ่งขึ้นค่ะ นอกจากนั้นคะน้ายังอุดมไปด้วยสารอาหารเบต้าแคโรทีนด้วย ส่วนถั่วฝักยาวควรล้างให้สะอาด ๆ แล้วรับประทานสด ๆ เพื่อจะได้ปริมาณวิตามินซีอย่างเต็มที่

 
เดือนเมษายน

 หอมใหญ่ ถั่วฝักยาว เห็ดฟาง

          คุณค่าทางสารอาหาร : หอมใหญ่มีสารต้านปฏิกิริยาออกซิเดชั่น ซึ่งช่วยชะลอความเสื่อมของร่างกาย เราสามารถซอยหอมใหญ่แล้วนำมาผัดกับข้าวผัด ทำให้ข้าวผัดนั้นมีรสชาติหวานขึ้น ส่วนเห็ดฟางก็นำมาใส่ลงในแกงจืดเปลี่ยนรสชาติของอาหาร ทำให้ไม่น่าเบื่อ

 
เดือนพฤษภาคม

 ถั่วพู หอมใหญ่ มะละกอดิบ

          คุณค่าทางสารอาหาร : มะละกอดิบเอามาทำส้มตำ เท่ากับได้รับประทานผักสด ๆ ซึ่งจะได้รับวิตามินซีเพิ่มขึ้นนะคะ สำหรับถั่วพู นำมาหั่นฝอยผสมไก่หรือหมูสับทอด เป็นทางเลือกที่หลากหลายในการเพิ่มแร่ธาตุแคลเซียมและใยอาหาร

 
เดือนมิถุนายน

 ดอกกุยฉ่าย คะน้า เห็ด

          คุณค่าทางสารอาหาร : ดอกกุยช่ายจะอุดมไปด้วยโฟเลต ซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกายในการสร้างสารพันธุกรรม และช่วยไม่ให้เกิดภาวะโลหิตจางชนิดหนึ่ง ส่วนเห็ดจะให้โปรตีน และคะน้าจะมีแคลเซียมสูง

 
เดือนกรกฎาคม

 ยอดตำลึง ผักบุ้งไทย

          คุณค่าทางสารอาหาร : ผักบุ้งหรือผักที่มีสีเขียวเข้มจะให้สารเบต้าแคโรทีน ช่วยบำรุงสายตาและต้านอนุมูลอิสระ ส่วนผักตำลึงจะให้สารเบต้าแคโรทีนเช่นกัน มีเมนูที่ทำง่าย ๆ ได้คุณค่า เช่น ใส่ลงไปในไข่เจียว หรือต้มจืดรับประทานก็ได้ค่ะ

 
เดือนสิงหาคม

 ผักกระเฉด หัวปลี ข้าวโพด

          คุณค่าทางสารอาหาร : หัวปลีจะมีใยอาหารค่อนข้างมาก ช่วยในเรื่องการขับถ่าย ส่วนข้าวโพดซึ่งจัดเป็นธัญพืชจะมีเบต้าแคโรทีนสูง ผักกระเฉดจะช่วยเรื่องขับถ่าย และเป็นผักที่มีเบต้าแคโรทีนสูงเช่นกัน แต่ระวังในการเลือกซื้อด้วยนะคะ เพราะเดี๋ยวนี้มีการใส่สารที่เป็นอันตรายทำให้ผักดูสดใหม่อยู่เสมอ

เดือนกันยายน

 ผักกระเฉด กวางตุ้ง บวบ

          คุณค่าทางสารอาหาร : กวางตุ้งอุดมไปด้วยแคลเซียม และเบต้าแคโรทีน ส่วนบวบจะให้ใยอาหารค่อนข้างสูง

เดือนตุลาคม

 มะระ ถั่วพู สายบัว ผักกระเฉด

          คุณค่าทางสารอาหาร : มะระเป็นผักสมุนไพรที่ให้วิตามินซีสูง (ถ้ารับประทานดิบ ๆ) เราสามารถทำเป็นเมนูแกงจืดหรือตุ๋นก็ได้ โดยคว้านไส้ในออกแล้วสอดหมูบดลงไป ส่วนผักกระเฉดและสายบัวควรล้างให้สะอาด ๆ ก่อนนำไปบริโภค

เดือนพฤศจิกายน 

 ผักกาดขาว สายบัว

          คุณค่าทางสารอาหาร : ผักกาดขาวมีเบต้าแคโรทีนสูง ส่วนสายบัวให้ใยอาหารช่วยในเรื่องขับถ่าย
 

เดือนธันวาคม

 ถั่วแขก ถั่วลันเตา กะหล่ำปลี

          คุณค่าทางสารอาหาร : กะหล่ำปลีหรือกะหล่ำดอกสดเป็นแหล่งของวิตามินซีอย่างดี เราสามารถนำมาผัด หรือต้มโดยใส่หมู หรือรับประทานสด ๆ ก็ได้ ส่วนถั่วลันเตาเป็นผักที่มีโปรตีนค่อนข้างสูง และมีใยอาหารสูง

          เป็นอย่างไรบ้างคะสำหรับผักตามฤดูกาลต่าง ๆ ที่แนะนำ คราวหน้าคุณๆ คงจะมีโอกาสได้เลือกผักเขียวๆ ตามใจชอบ แถมยังปลอดสารพิษด้วย ทีนี้ครอบครัวของคุณก็จะก้าวเดินอยู่บนเส้นทางสายสุขภาพกันแล้วล่ะค่ะ
 ที่มา: www.kapook.com

วันนี้คุณกินโยเกิร์ตหรือยัง?



วันนี้คุณกินโยเกิร์ตหรือยัง?
          นมก็ไม่ใช่ น้ำก็ไม่เชิง ถ้าโยเกิร์ตทำมาจากนมจริง ทำไมถึงได้มีแต่คนบอกว่าให้กินวันละถ้วย โยเกิร์ตดีอย่างไร? อ่านจบแล้วคุณอาจจะเริ่มอยากกินก็ได้นะ

 รู้จักกับโยเกิร์ต

          โยเกิร์ต คือ ผลิตภัณฑ์จากนมซึ่งเกิดจากการหมักระหว่างนม และโปรไบโอติกส์ (แบคทีเรียดี ๆ ที่ยังมีชีวิต) เมื่อเรากินเข้าไป แบคทีเรียเหล่านี้ก็จะไปสร้างความสมดุลให้จุลินทรีย์เจ้าถิ่นในลำไส้ ผลก็คือ ระบบขับถ่ายและสุขภาพโดยรวมของเราจะดีขึ้นนั่นเอง

 โยเกิร์ตแบบไหนดี

          เดี๋ยวนี้เราอาจเห็นกรีกโยเกิร์ตและโยเกิร์ตแบบธรรมดา ซึ่งแบบกรีกกำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้น เราจะเลือกแบบไหนดีล่ะ?

          กรีกโยเกิร์ต ความจริงแล้วก็คือโยเกิร์ตธรรมดาที่ถูกดูดเอาน้ำและเวย์ (ของเหลวที่ประกอบไปด้วยโปรตีนและแล็กโทส)  ออก ดังนั้น มันจึงเป็นโยเกิร์ตที่เข้มข้นกว่าเดิม คุณจึงได้รับสารอาหารและโปรไบโอติกส์มากขึ้นด้วย เช่น กรีกโยเกิร์ตหนึ่งถ้วยจะมีโปรตีนมากกว่าแบบธรรมดาถึงเท่าตัว แต่จะมีน้ำตาลน้อยกว่า
 

 โปรไบโอติกส์สำคัญอย่างไร

          อย่างที่กล่าวไปแล้ว โยเกิร์ตนั้นเต็มไปด้วยโปรไบโอติกส์ ข่าวดีก็คือโปรไบโอติกส์จำพวกแล็กโตบาซิลลัส หรืออะซิโดฟีลัสจะช่วยป้องกันการติดเชื้อรา หรือเชื้อยีสต์บริเวณช่องคลอด และหลังจากคุณกินยาปฏิชีวนะตามที่แพทย์สั่งจนครบคอร์ส คุณอาจจะอยากกินโปรไบติกส์เพิ่มขึ้น เพราะ "ปฏิชีวนะ" หมายความว่า ตัวยาอาจจะไปฆ่าแบคทีเรียดี ๆ ในลำไส้ด้วยก็ได้

 โยเกิร์ตนี้ดีไฉน

           ส่งเสริมภูมิคุ้มกัน มีการศึกษามากมาย ชี้ว่าการกินโยเกิร์ตทุก ๆ วันจะช่วยป้องกันการติดเชื้อในร่างกาย ดังนั้น โปรไบโอติกส์สำคัญมาก ๆ เพราะมันช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันไปจนถึงระดับเซลล์ ซึ่งจะปกป้องคุณจากไวรัส ปรสิต และมะเร็ง คุณจะได้มีชีวิตยืนยาวยิ่งขึ้น

           ป้องกันแผลในกระเพาะ แล็กโตบาซิลลัสจะช่วยหยุดยั้งการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ H.Pylori ซึ่งเป็นสาเหตุของแผลในกระเพาะกว่า 90%
 

 กินโยเกิร์ตอย่างไร

           กินเป็นของว่างทุกวัน จะช่วยให้คุณอิ่ม และมีพลังงานมากกว่าการดื่มเครื่องดื่มที่มีแคลอรีพอ ๆ กัน

           กินโยเกิร์ตรสธรรมชาติ ส่วนใหญ่แล้วจะแต่งกลิ่นผลไม้ และเติมน้ำตาล ดังนั้น เลือกรสธรรมชาติดีกว่า

           มิกซ์แอนด์แมตช์ หากคุณเบื่อการกินโยเกิร์ตรสธรรมชาติ ลองเติมผลไม้สด หรือใช้โยเกิร์ตแทนน้ำสลัดก็ได้

           อย่าซื้อโยเกิร์ตที่มีน้ำตาล มีแป้งข้าวโพด หรือผ่านการพาสเจอไรซ์ เพราะกระบวนการดังกล่าวจะฆ่าเชื้อโปรไบโอติกส์ ซึ่งนั่นจะลดประโยชน์ของโยเกิร์ตอย่างมาก

 Good for Skin

          โยเกิร์ตธรรมชาติมีกรดอัลฟ่า-ไฮดร็อกซี่ ซึ่งจะช่วยลอกเซลล์ผิว นำโยเกิร์ตธรรมชาติมาทาผิวทิ้งไว้ 15 นาที ก่อนล้างออกด้วยน้ำเย็น แล้วค่อยทามอยส์เจอไรเซอร์จะช่วยให้ผิวมีสุขภาพดี
ที่มา: www.kapook.com

กินผักออกกำลัง ต้านมะเร็ง 4 หมื่นชนิด

กินผักออกกำลัง ต้านมะเร็ง 4 หมื่นชนิด

  กินผักออกกำลัง ต้านมะเร็ง 4 หมื่นชนิด


 งานวิจัยใหม่ในออสเตรเลียพบว่า เพียงแค่ออกกำลังกาย และรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ ก็สามารถต้านมะเร็งได้ถึง 25% แล้ว

          ทั้งนี้ งานวิจัยที่จัดทำโดยวารสารเมดิคัลเจอร์นัลออฟออสเตรเลีย ระบุว่า ในปี พ.ศ.2568 จะมีชาวออสเตรเลียป่วยเป็นโรคมะเร็ง 170,000 รายในแต่ละปี สูงขึ้นกว่าอัตราป่วยเป็นโรคมะเร็งในปี 2550 ถึง 60% พร้อมกับเผยอีกว่า อัตราการเกิดโรคมะเร็งมีปัจจัยที่สำคัญมาจากการโภชนาการ การออกกำลังกาย และภาวะโรคอ้วน ซึ่งเพียงแค่รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และออกกำลังกายสม่ำเสมอ ก็ช่วยป้องกันโรคมะเร็งได้ 43,000 ชนิด แทนที่จะต้องสูญเสียเงินทุนในการรักษาถึงปีละ 674 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

          รายงานยังระบุด้วยว่า มะเร็งลำไส้เป็นมะเร็งที่สามารถป้องกันได้ง่ายที่สุด ตามมาด้วยมะเร็งทรวงอก มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งปอด มะเร็งช่องปาก และมะเร็งกล่องเสียง

          อย่างไรก็ตาม งานวิจัยพบว่าชาวออสเตรเลีย 92% ไม่ได้รับประทานผักตามจำนวนที่กำหนดขั้นต่ำ 5 จานต่อวัน ส่วนผู้เป็นโรคอ้วนมีจำนวนเพิ่มขึ้น 62% และอัตราการบริโภคแอลกอฮอล์เพิ่มขึ้น 61%

          ทั้งนี้ นักวิจัยพบว่า เราสามารถลดความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งได้ง่าย ๆ เพียงรับประทานผักผลไม้และธัญพืชเพิ่ม พร้อมกับลดรับประทานไขมันอิ่มตัว

          นอกจากนี้ งานวิจัยยังพบอีกว่า กลุ่มเสี่ยงโรคมะเร็งที่อยู่ในอันตรายมากที่สุดคือ ผู้ที่มีรายได้น้อย เนื่องจากด้านสภาพแวดล้อมและทุนทรัพย์ มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคอ้วนจากการรับประทานอาหารไม่ถูกสุขลักษณะ และออกกำลังกายไม่เพียงพอ ส่วนผู้ที่อยู่ในชนบทห่างไกล หรืออยู่ในสถานที่ที่สภาพแวดล้อมไม่เอื้ออำนวย จะมีโอกาสเป็นโรคอ้วนมากกว่า เพราะตัวเลือกในการรับประทานอาหารมีจำกัด

7 ผักผลไม้เพื่อสุขภาพช่วยชะลอวัย


เลดี้วีซ่าขอนำเสนอเคล็ดลับสุขภาพที่จะช่วยให้สุขภาพของคุณผู้หญิงแฟนๆ เลดี้วีซ่าช่วยมีผิวพรรณสดใสงดงาม แถมยังช่วยชะลอวัยได้อีกต่างหาก ซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้วว่า มีสารที่เป็นประโยชน์แก่คุณหญิงทุกวัยเลยทีเดียวค่ะ
ไปดูกันเลยว่า 7 ผักผลไม้ ที่เรานำมาบอกนั้นมีอะไรกันบ้าง

7 ผักผลไม้เพื่อสุขภาพ ช่วยชะลอวัย

1. แอปเปิ้ล
รู้ไหมค่ะ ในมีสารสำคัญ คือ “เบต้าแคโรทีน วิตามินซีและเส้นใยไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำ” ที่ชื่อว่าสาร “เพคติน” แต่ที่
ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยลดน้ำหนักได้ด้วย เนื่องจากช่วยลดความอยากอาหาร และลดโคเลสเตอรอล หากคุณผู้หญิงเกิดหิวมากๆ แต่ยังไม่ถึงเวลาทานข้าวและไม่อยากทานขนมจุกจิกให้หาแอปเปิ้ลสักลูก จะช่วยลดความหิวได้ เพราะ แอปเปิ้ลมีแป้งและน้ำตาล ในรูปของน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวถึง 75 % ทำให้ร่างกายสามารถดูดซึม น้ำตาลพิเศษได้เร็ว และนำไปใช้ประโยชน์ได้ไม่เกิน 10 นาที ว้าวรวดเร็วจริงๆ ค่ะ ดังนั้นทำให้เมื่อทานแล้วความอยากอาหารคุณผู้หญิงจึงลดลงทำให้คุณไม่รู้สึกหงุดหงิด หรือ อ่อนเพลีย แถมถ้าคุณผู้หญิงทานแอปเปิ้ล 2-3 ผลต่อวัน ช่วยลดปริมาณโคเลสเตอรอลในกระแสเลือดได้อีกต่างหาก เพราะแอปเปิ้ลมีเพคตินซึ่งเป็นไฟเบอร์ที่ละลายน้ำได้ ผลจากการวิจัยชี้ว่า เมื่อกรดในทางเดินอาหารย่อยสลายไขมัน และแยกโคเลสเตอรอลออกมาเสร็จสิ้นแล้ว เพคตินจากแอปเปิ้ล จะไปคอยดักจับโคเลสเตอรอลเหล่านั้น และพาไปทิ้งก่อนที่จะถูกดูดกลับเข้าร่างกายของเรานั่นเอง
2.ฝรั่ง
คุณผู้หญิงทั้งหลายทราบหรือไม่คะว่าฝรั่ง 1 ขีดมีวิตามินซีสูงถึง180 มิลลิกรัม วิตามินซี มีบทบาทในการสร้างคอลลาเจน ที่ทำให้ผิวพรรณบนใบหน้าของคุณผู้หญิงเต่งตึง ไม่แก่ก่อนวัยวิตามินซี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเจ้าตัวสารต้านอนุมูลอิสระนี้เอง ที่ทำให้คอลลาเจนและอีลาสตินเสื่อมสภาพ ผิวหนังแห้งเหี่ยว เกิดริ้วรอยตีนกา วิตามินซี มีความสำคัญต่อการสร้าง และบำรุงเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน(ConnectiveTissue) เซลล์นับล้านๆ ตัวเกาะเกี่ยวกันเป็นร่างกายได้ ด้วยเนื้อเยื่อที่เรียกว่า คอลลาเจนมันคือคอลลาเจนตัวเดียวกันกับคอลลาเจน ที่ทำให้ผิวพรรณบนใบหน้าของคุณผู้หญิงทั้งหลายเต่งตึงนั่นเอง และเพราะฝรั่งอุดมไปด้วยวิตามินซีนั่นเอง คุณๆ ทั้งหลายที่อยากคงความเป็นหนุ่มเป็นสาวให้แก่ผิวสวยไว้นานๆ ลองหันมาทานฝรั่งเป็นประจำดูนะคะ
3. กล้วยไข่
ในกล้วยไข่มีสารต้านอนุมูลอิสระที่เรารู้จักกันดี คือ เบต้าแคโรทีนโดยธรรมชาติ เมื่อคุณผู้หญิงเริ่มมีอายุมากขึ้นๆ เลยอายุ 22 ปีไปแล้ว ความเจริญเติบโตของร่างกาย จะเริ่มหยุด ความเสื่อมในส่วนต่างๆ ของร่างกายจะเริ่มมาเยือนอย่างช้าๆ ขณะนั้นเองมีสองสิ่งที่สำคัญเกิดขี้นในร่างกายของเรา ซึ่งก็คือ สิ่งแรก เซลล์ในร่างกายทุกเซลล์จะผลิตอนุมูลอิสระมากขึ้น สิ่งที่สองความสามารถในการซ่อมแซม ส่วนที่สึกหรอของร่างกายจะลดลงเรื่อยๆ พร้อมกันนั้นความสามารถ ในการจำกัดอนุมูลอิสระ ( Detoxification ) ก็ลดลงอย่างน่าตกใจเช่นกัน ดังนั้น กลยุทธ์ที่คุณจะสู้กับความแก่ด้วยตนเอง ก็คือ คุณผู้หญิงควรรับประทานอาหาร ที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระให้มาก ซึ่งสารนี้เรารู้จักในชื่อที่ เรียกว่า แอนตี้ออกซิแดนท์ (Antioxidants) ซึ่งในกล้วยไข่ 1 ขีด มีสารเบต้าแคโรทีนถึง 492มิลลิกรัม เชียวค่ะ
4. ส้ม
ผลไม้ที่นับเป็นแหล่งวิตามิน เกลือแร่ และเส้นใยธรรมชาติ การรับประทานส้มโดยไม่คายกาก จะช่วยคุมน้ำหนักได้อีกด้วยนะคะ เพราะจะทำให้คุณผู้หญิงรู้สึกอิ่ม เป็นประโยชน์สำหรับ คุณผู้หญิงที่ควบคุมน้ำหนักอยู่ หากรู้สึกหิวขึ้นมาเมื่อใดลองเปลี่ยนจากขนมปังแซนด์วิช หรือโดนัท ให้ลองหยิบส้มสักลูกขึ้นมาทานแทนรับรองได้ประโยชน์มากกว่าแน่นอนค่ะ
5. ลูกพรุน
เป็นแหล่งที่ดีของโปแตสเซียม เหล็กและไฟเบอร์ที่สำคัญเชียวค่ะ ลูกพรุน ช่วยทำให้ผิวพรรณของคุณผู้หญิงนั้นสวยใสดูมีมีเลือดฝาดเพราะเมื่อคุณผู้หญิงมีอายุเลย 25 ปีไปแล้ว ร่างกายก็จะเริ่มเสื่อมโทรม ไขมันเริ่มเข้าสะสมตามที่ต่างๆ ในร่างกายได้ง่ายๆ ใบหน้าที่เคยอิ่มด้วยเลือดฝาด ก็เริ่มหมองคล้ำผิวพรรณซีดโทรมได้ง่ายๆ ซึ่งมาจากหลายสาเหตุ เช่นผิวมีความหนามากขึ้นตามวัย จนมองไม่เห็น เลือดฝาด คือ เป็นโรคโลหิตจางนั่นเองค่ะ
6. บรอคโคลี่
เป็นพืชอีกชนิดหนึ่งที่เหมาะอย่างยิ่ง สำหรับคุณผู้หญิงทั้งหลาย เพราะบรอคโคลี่เป็นแหล่งซีลีเนียมตามธรรมชาติช่วยบำรุงผิวพรรณ(ซีลีเนียม จะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวหนัง จึงทำให้ผิวดูอ่อนวัยนุ่มนิ่ม มีน้ำมีนวลเหมือนหนุ่มสาว ) แถมยังช่วยลบริ้วรอยเหี่ยวย่นอีกด้วยนะคะ แหมอย่างนี้ไม่ทานไม่ได้แล้ว
7. ถั่ว
ผู้หญิงทุกคนอยากมีหุ่นสวยเพรียว ไม่มีไขมันส่วนเกินสะสม ถั่วช่วยคุณได้ค่ะ “ถั่ว” เป็นอาหารที่อุดมไปด้วยโปรตีน เหล็ก วิตามินบีนอกจากนี้ยังมีการค้นพบว่า เมื่อคุณรับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์ ชนิดที่ละลายน้ำได้ (ซึ่งอยู่ในถั่วนั่นเองค่ะไฟเบอร์จะทำหน้าที่ช่วยเคลือบผิวกระเพาะ ซึ่งทำให้รู้สึกอิ่มเร็วและอิ่มนานความอยากอาหารจะลดลง นับว่ามีประโยชน์กับคุณผู้หญิง ที่กำลังควบคุมน้ำหนักมากเลยทีเดียวค่ะ
ขอบคุณภาพจาก Hilight.kapook.com
บทความโดย : Ladyvisa.com